ใช้น้ำหอมให้ติดทน จนหนุ่มๆ หลงรักตั้งแต่ได้กลิ่น
เชื่อเลยว่าน้ำหอมถือเป็นไอเทมโปรดของสาวๆ หลายคน กลิ่นหอมๆ ที่ติดทนนานช่วยให้หนุ่มๆ หลงรัก ใครละจะอดใจไหว บางคนนี่มีกว่า 10 ขวดวางเรียงอยู่หน้ากระจก จนไม่รู้ว่าจะหยิบขวดไหนมาฉีด บางคนก็ชอบอยู่กลิ่นเดียว งานนี้เลยขอชวนสาว Lisa มาทำความรู้จักกับเจ้าน้ำหอมสักหน่อย
 

อะไรอยู่ในขวดนะ?
น้ำหอม คือ สารละลายหอมระเหยทำจากน้ำมันกับแอลกอฮอล์ นอกจากการแบ่งแยกจำแนกประเภทไว้แล้ว ในส่วนผสมของน้ำหอม และกลไกการทำงานของมันยังมีความลับของความหอมซ่อนไว้อยู่ กว่าจะได้น้ำหอมขวดนึงต้องสกัดน้ำมันหอมระเหยจากผลไม้ ดอกไม้ หรือกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นมาผสม บางกลิ่นเกิดจากการนำกลิ่นดอกไม้ ผลไม้หลายชนิดมาผสมกัน
- Top Notes หรือ Head Notes เป็นกลิ่นของสารสกัดจากน้ำหอมที่เราได้กลิ่นเป็นตัวแรก มักจะทำมาจากสารประกอบโมเลกุลตัวเล็กที่สุด สามารถระเหยได้ง่าย ซึ่งจะอยู่เพียงแค่ช่วง 10-20 นาทีแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะค่อยๆ จางหายไป
- Middle Notes หรือ Heart Notes จะเป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมตัวหลัก เป็นตัวที่โดดเด่นที่สุด ของน้ำหอมขวดนั้น มักจะมีลักษณะกลิ่นที่นุ่มนวลและหอมหวล โดยจะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง หลังจากใส่น้ำหอม แล้วจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นกลิ่น Base Notes
- Base Notes ถือว่าเป็นกลิ่นสุดท้ายของน้ำหอมขวดนั้น เพราะจะอยู่ติดทนนานไปกับเราตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง เราจะได้กลิ่นหลังจากกลิ่นอื่นแห้งไปแล้ว มักทำมาจากหัวน้ำหอมที่มีสารประกอบโมเลกุลใหญ่ ระเหยได้ช้า โดยลักษณะของกลิ่นจะไม่รุนแรงหรือโดดเด่น แต่เป็นกลิ่นอ่อนๆ เรียบง่าย ให้ความหอมได้ลงตัวที่สุด แต่ว่ากลิ่นก็อาจจะเปลี่ยงแปลงได้ขึ้นอยู่กับกิจวัตรของผู้ใช้ ซึ่งสภาพอากาศก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

มันมีกี่แบบกัน
หลายคนอาจจะยังงงๆ หรือคงสงสัยกันเยอะทีเดียวว่า คำศัพท์ที่ชอบติดอยู่บนขวดน้ำหอมว่า EDT หรือ EDP นั้นคืออะไร ไม่ต้องสงสัยเลยค่ะ เพราะมันคือศัพท์ย่อที่แบ่งประเภทความเข้มข้นของน้ำหอมเอาไว้นั้นเอง ซึ่งหลักๆ แล้ว มีการแบ่งประเภทของน้ำหอมออกเป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ตามระดับความเข้มข้นของกลิ่นดังนี้
- EDP หรือ Eau de Perfume ก็คือน้ำหอม ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมเข้มข้นที่สุดในสัดส่วนที่ 10-20% ที่ให้กลิ่นที่ค่อนข้างแรงที่สุด ให้ความหอมที่ยาวนาน ติดทน จะเห็นได้ว่ามีมูลค่าที่แพงกว่าชนิดอื่น เป็นน้ำหอมที่คนนิยมชอบใช้กันมากที่สุด เพราะว่าฉีดเพียงแค่นิดเดียวก็ให้ความหอมตลอดทั้งวัน ซึ่งชาวต่างชาติที่มีสภาพภูมิอากาศค่อนข้างหนาว แทบจะเอามาอาบแทนน้ำกันเลยทีเดียว เพราะอุณหภูมิต่ำทำให้กลิ่นจางเร็ว
- EDT หรือ Eau de Toilette ยังถือได้ว่าเป็นน้ำหอมอีกประเภทที่ค่อนข้างฮิตในหมู่คนที่ไม่ชอบกลิ่นแรงขนาด EDP เท่าไหร่ เพราะบางคนนั้นไม่ถูกกลับกลิ่นฉุนของน้ำหอม จึงลดความเข้มข้นลงมาให้มีกลิ่นหอมที่พอรับกับสัมผัสทางจมูกได้ แต่ก็ติดทนนานอยู่นะ แต่กลิ่นไม่แรงเท่าไหร่ ซึ่งในประเภทนี้มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในสัดส่วนที่ 5-15% ค่อนข้างเป็นที่นิยมสำหรับคนไทย
- EDC หรือ Eau de Cologne น้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในสัดส่วนเพียงแค่ 3-8% กลิ่นค่อนข้างอ่อน และจางหายเร็ว จะเห็นได้จากการใช้พวกโคโลญจ์ต่างๆ ว่าใส่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็แทบไม่ได้กลิ่นหอมแล้ว เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นน้ำหอม แต่ต้องการระงับกลิ่นชั่วขณะ ค่อนข้างมีราคาถูก

ฉีดยังไงให้ติดทน!
- Focus point วิธีการฉีดน้ำหอมนั้น ไม่ใช่ฉีดลงไปบนเสื้อผ้า และร่างกายแค่นั้นก็จบหอมทั้งวัน หากแต่ว่ามันมีเคล็ดลับในการฉีดที่ทำประสิทธิภาพของน้ำหอมดียิ่งขึ้น นั้นคือการฉีดไปตามจุดชีพจร เพราะจุดไหลเวียนของโลหิตจะมีความร้อนช่วยส่งให้กลิ่นน้ำหอม หอมขึ้น และติดทนนาน หรือบริเวณ ใต้กราม ซอกคอ ข้อพับแขน และบริเวณเนินอก และอีกส่วนหนึ่งคือบริเวณข้อพับหัวเข่า และเข่า น้ำหอมจะระเหยขึ้นสูข้างบน ทำให้ได้รับกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้นด้วยล่ะ
- Walk through It การฉีดน้ำหอมแล้วเดินผ่านก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เก๋สุดๆ เพราะว่าละอองน้ำหอม จะทำให้กระจายทั่วตัวเวลาเดินผ่าน โดยให้ฉีดห่างออกไป 6 นิ้ว แต่ว่าอย่าลืมหลับตาเวลาเดินผ่านล่ะ
- Not on Cloths หากใครที่ชอบฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้าเยอะๆ หรือแบบเน้นๆ ลองยั้งใจสักนิด เพราะน้ำหอมนั้นเป็นแอลกอฮอล์ที่กรดเป็นด่าง ในบางครั้งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยากับเสื้อผ้า เกิดเป็นคราบและรอยด่างได้
- Keep it right ควรเก็บรักษาน้ำหอมไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 27 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิห้อง ห้ามโดนอุณหภูมิเกิน 30 องศา แม้จะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อยก็ตาม
- Not cold please สภาพภูมิอากาศก็สำคัญ อากาศหนาวจะทำให้น้ำหอมจางหายเร็ว ถ้าอากาศจะทำให้น้ำหอมระเหย และมีกลิ่นที่แรงขึ้น
- No hand allow ไม่ควรใช้มือหรือนิ้วถูน้ำหอมให้ซึมเข้าไปในผิวเพราะจะทำให้น้ำหอมช้ำ ควรฉีดน้ำหอมลงบนผิวแล้วปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติจะดีกว่า